วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_10.jpg

         จากการสันนิษฐานของท่านผู้รู้ทางด้าน ดนตรีไทย โดยการพิจารณา หาเหตุผลเกี่ยวกับกำเนิด หรือที่มาของ ดนตรีไทย ก็ได้มีผู้เสนอแนวทัศนะในเรื่องนี้ไว้ 2 ทัศนะที่แตกต่างกันคือ
         ทัศนะที่ 1 สันนิษฐานว่า ดนตรีไทย ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เนื่องจาก อินเดียเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณ ที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก อารยธรรมต่าง ๆ ของอินเดียได้เข้ามามีอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชียอย่างมาก ทั้งในด้าน ศาสนา ประเพณีความเชื่อ ตลอดจน ศิลป แขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านดนตรี ปรากฎรูปร่างลักษณะ เครื่องดนตรี ของประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย เช่น จีน เขมร พม่า อินโดนิเซีย และ มาเลเซีย มีลักษณะ คล้ายคลึงกัน เป็นส่วนมาก ทั้งนี้เนื่องมาจาก ประเทศเหล่านั้นต่างก็ยึดแบบฉบับ ดนตรี ของอินเดีย เป็นบรรทัดฐาน รวมทั้งไทยเราด้วย เหตุผลสำคัญที่ท่านผู้รู้ได้เสนอทัศนะนี้ก็คือ ลักษณะของ เครื่องดนตรีไทย สามารถจำแนกเป็น 4 ประเภท คือ
                 - เครื่องดีด
                 - เครื่องสี
                 - เครื่องตี
                 - เครื่องเป่า
        ใกล้เคียงกับลักษณะ เครื่องดนตรี อินเดียตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ "สังคีตรัตนากร" ของอินเดีย ซึ่งจำแนกเป็น 4 ประเภท เช่นกันคือ
                 - ตะตะ คือ เครื่องดนตรี ประเภทมีสาย
                 - สุษิระ คือ เครื่องเป่า
                 - อะวะนัทธะ หรือ อาตตะ คือ เครื่องหุ้มหนัง หรือ กลอง ต่าง ๆ
                 - ฆะนะ คือ เครื่องตี หรือ เครื่องกระทบ
การสันนิษฐานเกี่ยวกับ กำเนิดหรือที่มาของ ดนตรีไทย ตามแนวทัศนะข้อนี้ เป็นทัศนะที่มีมาแต่เดิม นับตั้งแต่ ได้มีผู้สนใจ และ ได้ทำการค้นคว้าหาหลักฐาน เกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้น และนับว่า เป็นทัศนะที่ได้รับการนำมากล่าวอ้างกันมาก บุคคลสำคัญที่เป็นผู้เสนอแนะแนวทางนี้คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งวงการประวัติศาสตร์ของไทย

วิวัฒนาการของ ดนตรีไทย สมัยต่าง ๆ

ภาพ:MusicThai_4.jpg

[แก้ไข] สมัยสุโขทัย

         นับตั้งแต่ไทยได้มาตั้งถิ่นฐานในแหลมอินโดจีน และได้ก่อตั้งอาณาจักรไทยขึ้น จึงเป็นการเริ่มต้น ยุคแห่งประวัติศาสตร์ไทย ที่ปรากฎ หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวคือ เมื่อไทยได้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และหลังจากที่ พ่อขุนรามคำแหง มหาราช ได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ใช้แล้ว นับตั้งแต่นั้นมาจึงปรากฎหลักฐานด้าน ดนตรีไทย ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในหลักศิลาจารึก หนังสือวรรณคดี และเอกสารทางประวัติศาสตร์ ในแต่ละยุค ซึ่งสามารถนำมาเป็นหลักฐานในการพิจารณา ถึงความเจริญและวิวัฒนาการของ ดนตรีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นต้นมา จนกระทั่งเป็นแบบแผนดังปรากฎ ในปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้
         สมัยสุโขทัย ดนตรีไทย มีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เครื่องดนตรีไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปี่ไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น ลักษณะการผสม วงดนตรี ก็ปรากฎหลักฐานทั้งในศิลาจารึก และหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึง "เสียงพาทย์ เสียงพิณ" ซึ่งจากหลักฐานที่กล่าวนี้ สันนิษฐานว่า วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้ คือ
         1. วงบรรเลงพิณ มีผู้บรรเลง 1 คน ทำหน้าที่ดีดพิณและขับร้องไปด้วย เป็นลักษณะของการขับลำนำ
         2. วงขับไม้ ประกอบด้วยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลำนำ 1 คน คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 1 คน และ คนไกว บัณเฑาะว์ ให้จังหวะ 1 คน
         3. วงปี่พาทย์ เป็นลักษณะของวงปี่พาทย์เครื่อง 5 มี 2 ชนิด คือ
         วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างเบา ประกอบด้วยเครื่องดนตรีชนิดเล็ก ๆ จำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ 2. กลองชาตรี 3. ทับ (โทน) 4. ฆ้องคู่ และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละครชาตรี (เป็นละครเก่าแก่ที่สุดของไทย)
         วงปี่พาทย์เครื่องห้า อย่างหนัก ประกอบด้วย เครื่องดนตรีจำนวน 5 ชิ้น คือ 1. ปี่ใน 2. ฆ้องวง (ใหญ่) 3. ตะโพน 4. กลองทัด และ 5. ฉิ่ง ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ต่าง ๆ จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ยังไม่มีระนาดเอก
         4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหนึ่ง ที่นำเอา วงบรรเลงพิณ กับ วงขับไม้ มาผสมกัน เป็นลักษณะของ วงมโหรีเครื่องสี่ เพราะประกอบด้วยผู้บรรเลง 4 คน คือ 1. คนขับลำนำและตี กรับพวง ให้จังหวะ 2. คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 3. คนดีดพิณ และ 4. คนตีทับ (โทน) ควบคุมจังหวะ

 สมัยกรุงศรีอยุธยา

ภาพ:MusicThai_3.jpg

         ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ ในกฏมลเฑียรบาล ซึ่งระบุชื่อ เครื่องดนตรีไทย เพิ่มขึ้น จากที่เคยระบุไว้ ในหลักฐานสมัยสุโขทัย จึงน่าจะเป็น เครื่องดนตรี ที่เพิ่งเกิดในสมัยนี้ ได้แก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รำมะนา นอกจากนี้ในกฎมณเฑียรบาลสมัย สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎข้อห้ามตอนหนึ่งว่า "...ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทับ ในเขตพระราชฐาน..." ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ ดนตรีไทย เป็นที่นิยมกันมาก แม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่นดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระทั่งพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าวขึ้นไว้
         เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทย ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดังนี้ คือ
        1. วงปี่พาทย์ ในสมัยนี้ ก็ยังคงเป็น วงปี่พาทย์เครื่องห้า เช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอก เพิ่มขึ้น ดังนั้น วงปี่พาทย์เครื่องห้า ในสมัยนี้ประกอบด้วย เครื่องดนตรี ดังต่อไปนี้ คือ
         2. วงมโหรี ในสมัยนี้พัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะได้เพิ่ม เครื่องดนตรี เข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รำมะนา ทำให้ วงมโหรี ในสมัยนี้ ประกอบด้วย เครื่องดนตรี จำนวน 6 ชิ้น คือ

สมัยกรุงธนบุรี

         เนื่องจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 15 ปี และประกอบกับ เป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทย ในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงขึ้น สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของ ดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

         ในสมัยนี้ เมื่อบ้านเมืองได้ผ่านพ้นจากภาวะศึกสงคราม และได้มีการก่อสร้างเมืองให้มั่นคงเป็นปึกแผ่น เกิดความ สงบร่มเย็น โดยทั่วไปแล้ว ศิลป วัฒนธรรม ของชาติ ก็ได้รับการฟื้นฟูทะนุบำรุง และส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะ ทางด้าน ดนตรีไทย ในสมัยนี้ได้มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงเจริญขึ้นเป็นลำดับ ดังต่อไปนี้ คือ
         สมัยรัชกาลที่ 1 ดนตรีไทย ในสมัยนี้ส่วนใหญ่ ยังคงมีลักษณะ และ รูปแบบตามที่มีมาตั้งแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พัฒนาขึ้นบ้างในสมัยนี้ก็คือ การเพิ่ม กลองทัด ขึ้นอีก 1 ลูก ใน วงปี่พาทย์ ซึ่ง แต่เดิมมา มีแค่ 1 ลูก พอมาถึง สมัยรัชกาลที่ 1 วงปี่พาทย์ มี กลองทัด 2 ลูก เสียงสูง (ตัวผู้) ลูกหนึ่ง และ เสียงต่ำ (ตัวเมีย) ลูกหนึ่ง และการใช้ กลองทัด 2 ลูก ในวงปี่พาทย์ ก็เป็นที่นิยมกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้
         สมัยรัชกาลที่ 2 อาจกล่าวว่าในสมัยนี้ เป็นยุคทองของ ดนตรีไทย ยุคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะ องค์พระมหากษัตริย์ ทรงสนพระทัย ดนตรีไทย เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในทาง ดนตรีไทย ถึงขนาดที่ ทรงดนตรีไทย คือ ซอสามสาย ได้ มีซอคู่พระหัตถ์ชื่อว่า "ซอสายฟ้าฟาด" ทั้งพระองค์ได้ พระราชนิพนต์ เพลงไทย ขึ้นเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่ไพเราะ และอมตะ มาจนบัดนี้นั่นก็คือเพลง "บุหลันลอยเลื่อน"
         การพัฒนา เปลี่ยนแปลงของ ดนตรีไทย ในสมัยนี้ก็คือ ได้มีการนำเอา วงปี่พาทย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภา เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังมีกลองชนิดหนึ่งเกิดขึ้น โดยดัดแปลงจาก "เปิงมาง" ของมอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดนี้ว่า "สองหน้า" ใช้ ตีกำกับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ ประกอบการขับเสภา เนื่องจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระทั่งกลบเสียงขับ กลองสองหน้านี้ ปัจจุบันนิยมใช้ตีกำกับจังหวะหน้าทับ ในวงปี่พาทย์ไม้แข็ง
         สมัยรัชกาลที่ 3 วงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพราะได้มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้ม มาคู่กับระนาดเอก และประดิษฐ์ฆ้องวงเล็กมาคู่กับ ฆ้องวงใหญ่

 วงดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_2.jpg

         ดนตรีไทยมักเล่นเป็นวงดนตรี มีการแบ่งตามประเภทของการบรรเลงที่เป็นระเบียบมาแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันเป็น 3 ประเภท คือ

 วงปี่พาทย์

         ประกอบด้วยเครื่องตีเป็นสำคัญ เช่น ฆ้อง กลอง และมีเครื่องเป่าเป็นประธานได้แก่ ปี่ นอกจากนั้นเป็นเครื่อง วงปี่พาทย์ยังแบ่งไปได้อีกคือ วงปี่พาทย์ชาตรี,วงปี่พาทย์ไม้แข็ง,วงปี่พาทย์เครื่องห้า,วงปี่พาทย์เครื่อง คู่,วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่,วงปี่พาทย์ไม้นวม,วงปี่พาทย์มอญ,วงปี่พาทย์นาง หงส์

 วงเครื่องสาย

         เครื่องสาย ได้แก่ เครื่องดนตรี ที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีที่มีสายเป็นประธาน มีเครื่องเป่า และเครื่องตี เป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซอด้วง ซออู้ จะเข้ เป็นต้น ปัจจุบันวงเครื่องสายมี 4 แบบ คือ วงเครื่องสายไทยเครื่องเดี่ยว,วงเครื่องสายไทยเครื่องคู่,วงเครื่องสายผสม, วงเครื่องสายปี่ชวา

 วงมโหรี

         ในสมัยโบราณเป็นคำเรียกการบรรเลงโดยทั่วไป เช่น "มโหรีเครื่องสาย" "มโหรีปี่พาทย์" ในปัจจุบัน มโหรี ใช้เป็นชื่อเรียกเฉพาะวงบรรเลงอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเครื่อง ดีด สี ตี เป่า มาบรรเลงรวมกันหมด ฉะนั้นวงมโหรีก็คือวงเครื่องสาย และวงปี่พาทย์ ผสมกัน วงมโหรีแบ่งเป็น วงมโหรีเครื่องสี่,วงมโหรีเครื่องหก,วงมโหรีเครื่องเดี่ยว หรือ มโหรีเครื่องเล็ก,วงมโหรีเครื่องคู่

 เครื่องดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_6.jpg

         เครื่องดนตรีไทยแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ ดีด สี ตี เป่า

 เครื่องตี

  • กรับ เช่น กรับพวง และ กรับเสภา
  • ระนาด เช่น ระนาดเอก และ ระนาดทุ้ม
  • ฆ้อง เช่น ฆ้องมโหรี,ฆ้องมอญ,ฆ้องวงใหญ่ ,ฆ้องวงเล็ก,ฆ้องโหม่ง
  • ฉาบ
  • ฉิ่ง
  • กลอง เช่น กลองแขก,กลองตะโพน,กลองทัด,กลองยาว,ตะโพน,มโหระทึก,โทน,รำมะนา

 เครื่องสี

 เครื่องดีด

เครื่องเป่า

 เพลงดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_5.jpg

         แบ่งได้เป็น 4 แบบคือ
         1. เพลงหน้าพาทย์ ได้แก่ เพลงที่บรรเลงประกอบกิริยาเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งของมนุษย์ ของสัตว์ ของวัตถุต่าง ๆ และอื่น ๆ
         2. เพลงรับร้อง ที่เรียกว่าเพลงรับร้องก็ด้วยบรรเลงรับจากการร้อง คือ เมื่อคนร้องได้ร้องจบไปแล้วแต่ละท่อน ดนตรีก็ต้องบรรเลงรับในท่อนนั้น ๆ โดยมากมักเป็นเพลงอัตรา 3 ชั้นและเพลงเถา เช่น เพลงจระเข้หางยาว 3 ชั้น เพลงสี่บท 3 ชั้น และเพลงบุหลันเถา เป็นต้น
         3. เพลงละคร หมายถึงเพลงที่บรรเลงประกอบการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่าง ๆ ซึ่งหมายเฉพาะเพลงที่มีรัองและดนตรีรับเท่า นั้น เพลงละครได้แก่เพลงอัตรา 2 ชั้น เช่น เพลงเวสสุกรรม เพลงพญาโศก หรือชั้นเดียว เช่น เพลงนาคราช เพลงตะลุ่มโปง เป็นต้น
         4. เพลงเบ็ดเตล็ด ได้แก่ เพลงเล็ก ๆ สั้น ๆ สำหรับใช้บรรเลงเป็นพิเศษ เช่น บรรเลงต่อท้ายเพลงใหญ่เป็นเพลงลูกบท หรือเพลงภาษา ต่าง ๆ ซึ่งบรรเลงเพื่อสนุกสนาน

 การบรรเลงดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_7.jpg

         การบรรเลงดนตรีไทยนั้น ผู้บรรเลงต้องจำทำนองเนื้อเพลงได้อย่างแม่นยำอย่างหนึ่ง รู้วิธีบรรเลงและหน้าที่ของ เครื่องดนตรีที่ตนบรรเลง เช่น ระนาดเอก ระนาดทุ้มว่ามีอย่างไร และมีสติปัญญาแต่งทำนองให้เกิดความไพเราะอีกอย่างหนึ่งเพราะการ บรรเลงดนตรีไทยไม่ได้ดูโน๊ต จึงต้องใช้ความจำ ในขณะที่บรรเลง ผู้บรรเลงจะต้องแต่งทำนองด้วยปัญญาของตน ให้ดำเนินไปตาม วิธีการบรรเลงเครื่องดนตรีที่ตนบรรเลง เช่น ระนาดเอก ก็ต้องเก็บถี่ ๆ ตีเป็นคู่ 8 พร้อม ๆ กันทั้งสองมือ และต้องไม่ให้ผ ิด ไปจากเนื้อเพลงของเพลงนั้นด้วย

 การบรรเลงดนตรีไทยประกอบงาน

ภาพ:MusicThai_8.jpg

         การที่จะมี่ดนตรีบรรเลงประกอบในงาน ที่จะจัดให้มีขึ้นนั้น ก็ควรจะยึดถือแบบแผนที่สมัยโบราณได้เคย ใช้กันมาจนเป็นประเพณีไปแล้ว คือ
  • งานที่มีพระสงฆ์สวดมนต์และฉันอาหาร ควรใช้วงปี่พาทย์ จะเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ หรือเครื่องใหญ่ ก็แล้วแต่เห็นสมควร
  • งานแต่งงาน หรือที่เรียกกันว่างานมงคลสมรส ควรใช้วงมโหรีหรือวงเครื่องสาย
  • งานศพ ถ้าจะใช้ดนตรีไทย ควรใช้วงปี่พาทย์นางหงส์
  • งานพิเศษที่จัดขึ้นเฉพาะครั้งคราว เช่น รับแขกผู้มีเกียรติ ชุมนุมเพื่อกิจการหรือสมาคมอาจใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม หรือ มโหรี หรือเครื่องสาย ก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าของงานจะพอใจ

 ลีลาดนตรีไทย

ภาพ:MusicThai_9.jpg

         ลีลาเครื่องดนตรีไทย หมายถึงท่วงท่าหรือท่วงทำนองที่เครื่องดนตรีต่างๆได้บรรเลงออกมา สำหรับลีลาของเครื่องดนตรีไทยแต่ละเครื่องที่เล่นเป็นเพลงออกมา บ่งบอกถึงคุณลักษณะและพื้นฐานอารมณ์ที่จากตัวผู้เล่น เนื่องมาจากลีลาหนทางของดนตรีไทยนั้นไม่ได้กำหนดกฏเกณฑ์ไว้ตายตัวเหมือนกับ ดนตรีตะวันตก หากแต่มาจากลีลาซึ่งผู้บรรเลงคิดแต่งออกมาในขณะเล่น เพราะฉะนั้นในการบรรเลงแต่ละครั้งจึงอาจมีทำนองไม่ซ้ำกัน แต่ยังมี ความไพเราะและความสอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่นๆอยู่
         ลักษณะเช่นนี้ได้อิทธิพลมาตั้งแต่สมัยโบราณ ที่มี"กฎเกณฑ์" อยู่ที่การวาง "กลอน" ลงไปใน "ทำนองหลัก" ในที่นี้ หมายถึงในเพลงไทยเดิมนั้นเริ่มต้นด้วย "เนื้อเพลงแท้ๆ" อันหมายถึง "เสียงลูกตก" ก่อนที่จะปรับปรุงขึ้นเป็น "ทำนองหลัก" หรือที่เรียกว่า "เนื้อฆ้อง" อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในชั้นเนื้อฆ้องนี้ส่วนใหญ่จะยังคงเป็นทำนองห่างๆ ยังไม่มีความซับซ้อนมาก แต่ยังกำหนดลักษณะในการเล่นไว้ให้ผู้บรรเลงแต่ละคนได้บรรเลงด้วยลีลาเฉพาะ ของตนในกรอบนั้นๆ โดยลีลาที่กล่าวมาก็หมายถึง "กลอน" หรือ "หนทาง" ต่างๆที่บรรเลงไปนั่นเอง

ความรักนะค่ะเพื่อนๆ

ทำไมคนเราต้องมีความรัก?


ทำไมคนเราต้องมีความรัก?

ความรัก

ข้อมูลจาก Forward mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ทำไมคนเรา ต้องมีความรัก? 
ก็เพราะว่า . . . เราทุกคนล้วนมีหัวใจ



ทำไมคนเรา จึงต้องโหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา
ก็เพราะเราต้องการใครสักคน มาช่วยเราดูแลหัวใจของเรา



ทำไมคนเรา ถึงไม่เคยพอกับความรัก
ก็เพราะว่า . . . เราไม่ได้เกิดมาเพื่อรักใครคนเดียว

ทำไมคนบางคน ถึงไม่เคยพบกับความรักสักที
ก็เพราะว่า . . . เขาไม่เคยเปิดใจตัวเองให้ใคร



ทำไมคนบางคน ไม่เคยเปิดใจตัวเองให้ใคร
ก็เพราะว่า . . . เขาอาจจะกำลังรอใครสักคนอยู่



ทำไมคนบางคน ถึงต้องอกหักอยู่บ่อย
ก็เพราะว่า . . . เขาปล่อยใจตัวเองตกหลุมรักอยู่ตลอดเวลา



ไม่ต้องเสียใจ ที่เขาไม่รักเรา  . . .
เพราะเราและเขา อาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อรักกัน



ทำไมคนบางคน ไม่เคยสมหวังกับความรัก
ก็เพราะว่า . . . เขาอาจจะยังไม่เจอคู่แท้ของเขา



ทำไมคนบางคน ยังไม่พบคู่แท้ของเขา
ก็เพราะว่า . . . เขาอาจจะไม่เคยตามหาเลยก็ได้

ทำไมเราควรจะทำตัวเราให้ดูดี อยู่ตลอดเวลา
ก็เพราะว่า . . . เราไม่รู้ว่าจะได้เจอคนที่ถูกใจเมื่อไร

 

ไม่ต้องเสียใจที่เรายังไม่เจอคนที่เรารัก
เพราะว่า เมื่อเราเจอเขาคนนั้นเมื่อไร
เราจะรู้ว่ามันคุ้มค่ามากแค่ไหน กับเวลาที่เรารอคอย

  

จงทะนุถนอมหัวใจของเราไว้ให้ดี
เพราะว่า . . . เมื่อเราเจอคนที่ใช่
จะได้มอบมันให้เขาด้วยความภูมิใจ


อย่าปล่อยให้โชคชะตา ลิขิตชีวิตเราทั้งหมด
แต่จงใช้มันเป็นเครื่องนำทาง ในการดำเนินชีวิต



โชคชะตาสามารถทำให้เราพบคนที่ถูกใจ
แต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาคนนั้นรักเราได้

ประวัติ กาลิเลโอ

ประวัติ กาลิเลโอ ชายผู้ไม่เชื่อเหมือน คนทั้งโลกที่เชื่อว่า โลกแบน
คุณล่ะกล้าเชื่ออะไร ที่คนทั้งโลกไม่เชื่อไหม?



เกิด        วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564  ที่เมืองปิซา (Pisa) ประเทศอิตาลี (Italy)
เสียชีวิต วันที่    8 มกราคม ค.ศ. 1642     ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี (Italy)
ผลงาน - ค.ศ. 1584 ตั้งกฎเพนดูลัม (Pendulum) หรือกฎการแกว่างของนาฬิกาลูกตุ้ม
           - ค.ศ. 1585 ตีพิมพ์หนังสือชื่อว่า Kydrostatic Balance และ Centre of Gravity
           - ค.ศ. 1591 พิสูจน์ทฤษฎีของอาริสโตเติลที่ว่าวัตถุที่มีน้ำหนักเบาว่าผิด อันที่จริงวัตถุจะตกถึงพื้นพร้อมกันเสมอ
           - พัฒนากล้องโทรทรรศน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถส่องดูดาวบนจักรวาลได้
           - พบลักษณะพื้นผิวของดวงจันทร์
           - พบว่าดาวมีหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์
           - พบทางช้างเผือก (Milky Way)
           - พบบริวารของดาวพฤหัสบดี ว่ามีมากถึง 4 ดวง
           - พบวงแหวนของดาวเสาร์ ซึ่งปากฎว่ามีสีถึง 3 สี
           - พบว่าพื้นผิวของดาวศุกร์มีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์
           - พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sun Spot)
           - พบดาวหาง 3 ดวง  

       กาลิเลโอเป็นนักวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของโลก โดยเฉพาะผลงานด้าน
ดาราศาสตร์เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด การทดลองและการค้นพบของเขามีประโยชน์มากมายหลายด้าน โดยเฉพาะ
ทางด้านดาราศาสตร์ เช่น พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ พบบริวารของดาวพฤหัสบดี เป็นต้น การพบลักษณะการแกว่งของวัตถุ
ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นเครื่องจับเวลา และนาฬิกาลูกตุ้ม อีกทั้งการที่เขาสามารถพัฒนาสร้างกล้องโทรทรรศน์ให้มีประสิทธิภาพ
มากขึ้น ทำให้วิชาการด้านดาราศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้า อีกทั้งเขายังเป็นบุคคลที่มีความกล้าหาญอย่างมากในการเสนอ
แนวความคิด ต่าง ๆ เกี่ยวกับทฤษฎีดั้งเดิมที่ผิดของอาริสโตเติล ซึ่งนำความเดือดร้อนมาให้กับเขาเอง ทั้งการถูกต้องขังและ
ถูก กล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตต่อต้านคำสั่งสอนทางศาสนา ซึ่งเกือบจะต้องเสียชีวิตถ้าเขาไม่ยอมรับความผิดอันนี้ แม้ว่าเขา
จะต้อง ยอมรับผิด แต่เขาก็ไม่หยุดทำการค้นคว้าและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่อไป กาลิเลโอมักมีแนวความคิดที่แตกต่าง
ไปจากคนอื่นเสมอ เขาจะไม่ยอมเชื่อทฤษฎีต่าง ๆ ที่ได้รับการเผยแพร่ออกมาทั้งในอดีตและในยุคนั้น กาลิเลโอต้องทำการ
ทดลอง เสียก่อนที่จะเชื่อถือในทฤษฎีข้อนั้น และด้วยนิสัยเช่นนี้ทำให้เขาได้รับฉายาว่า The Wrangler ฉายาของกาลิเลโอ
อันนี้ในปัจจุบัน ได้ใช้หมายถึง "ผู้เชี่ยวชาญ" ในมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด (Oxford University) และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
(Cambridge University)

        กาลิเลโอเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี บิดาของเขาเป็นขุนนาง นักคณิตศาสตร์ นักดนตรี
และนักเขียน ที่มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร บิดาของเขามีชื่อว่า วินเซนซิโอ กาลิเลอี (Vincenzio Galilei) กาลิเลโอเข้ารับการศึกษา  
ขั้นต้นที่เมืองปิซานั่นเอง กาลิเลโอเป็นนักเรียนที่เฉลียวฉลาด และมีความสามารถหลายด้าน ทั้งวาดภาพ เล่นดนตรี และ
คณิตศาสตร์ บิดาของกาลิเลโอต้องการให้เขาศึกษาต่อในวิชาแพทย์ ด้วยเป็นอาชีพที่ได้รับการยกย่อง กาลิเลโอได้ปฏิบัติตาม
ที่บิดาต้องการ คือ เข้าเรียนในวิชาการแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยปิซา (Pisa University) แต่กาลิเลโอมีความสนใจในวิชา
วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์มากกว่า จนกระทั่งครั้งหนึ่งกาลิเลโอมีโอกาสได้เข้าฟังการบรรยายวิชาคณิตศาสตร์ ทำให้
เขาเลิกเรียนวิชาแพทย์ และไปเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์แทน

        การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกของกาลิเลโอเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1584 เมื่อเขากำลังนั่งฟังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์แห่งหนึ่ง  
เขาสังเกตเห็นโคมแขวนบนเพดานโบสถ์แกว่างไปแกว่างมา เขาจึงเกิดความสงสัยว่าการแกว่งไปมาของโคมในแต่ละรอบใช้เวลา  
เท่า กันหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงทดลองจับเวลาการแกว่งไปมาของโคม โดยเทียบกับชีพจรของตัวเอง เนื่องจากเขาเคยเรียนวิชาแพทย์ ทำให้เขารู้ว่าจังหวะการเต้นของชีพจรของคนในแต่ละครั้งนั้นใช้เวลาเท่ากัน ผลปรากฎว่าไม่ว่าโคมจะแกว่งในลักษณะใด
ก็แล้วแต่ ระยะเวลาในการแกว่งไปและกลับครบ 1 รอบ จะเท่ากันเสมอ เมื่อเขากลับบ้านได้ทำการทดลองแบบเดียวกันนี้อีกหลาย
ครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าทฤษฎีที่เขาจะตั้งขึ้นถูกต้องที่สุด ซึ่งผลการทดลองก็เหมือนกันทุกครั้ง กาลิเลโอได้ตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่า
กฎเพนดูลัม (Pendulum) หรือ กฎการแกว่งของนาฬิกาลูกตุ้ม กาลิเลโอได้นำหลักการจากการทดลองครั้งนี้มาสร้างเครื่องจับเวลา
ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1656 คริสเตียน ฮฮยเกนส์ (Christian Huygens) ได้นำทฤษฎีนี้มาสร้างนาฬิกาลูกตุ้ม

        ต่อมาในปี ค.ศ. 1585 กาลิเลโอได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะไม่มีเงินพอสำหรับการเรียนต่อ เขาได้เดินทางกลับบ้านเกิด
ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) และได้เข้าศึกษาต่อที่สถาบันฟลอเรนทีน (Florentine Academy) ในระหว่างนี้กาลิเลโอ  
ได้ เขียนหนังสือขึ้นมา 2 เล่ม เล่มแรกชื่อว่า Hydrostatic Balance เป็นเรื่องเกี่ยวกับตาชั่ง ส่วนอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Centre of Gravity เป็นเรื่องเกี่ยวกับจุดศูนย์ถ่วงของของแข็ง เล่มที่ 2 นี้เขาเขียนเนื่องจากมาร์เชส กวิดูบาลโด เดล มอนเต แห่งเปซาโร
(Marchese Guidubald Del Monte of Pasaro) ซึ่งเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อเขา ขอร้องให้เขียนขึ้น จากหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้เอง
ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากขึ้น และในปี ค.ศ. 1588 กาลิเลโอได้รับการติดต่อให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชา  
คณิตศาสตร์ในมหาวิทยาลัยปิซา ในปี ค.ศ. 1591 ระหว่างที่กาลิเลโอเข้าทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยปิซา เขาได้นำทฤษฎีของ
อาริสโตเติล มาทดสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง ทฤษฎีที่ว่านี้ คือ ทฤษฎีที่มีน้ำหนักมากกว่าจะตกถึงพื้นก่อนวัตถุที่มีน้ำหนักเบา  

        แต่เมื่อกาลิเลโอทดลองแล้วปรากฏว่าวัตถุที่มีน้ำหนักมากและวัตถุที่มีน้ำหนักเบา จะตกถึงพื้นพร้อมกัน แต่การที่อาริสโตเติล  
สรุปทฤษฎีเช่นนี้เป็นผลเนื่องมาจากอากาศได้ช่วยพยุงวัตถุที่มีน้ำหนักเบาได้มากกว่าวัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่า แต่ถ้าทำการทดลอง  
ในสุญญากาศจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวัตถุตกถึงพื้นพร้อมกัน กาลิเลโอได้นำความจริงข้อนี้ไปชี้แจงกับทางมหาวิทยาลัย ผลปรากฏ
ว่า มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เขาจึงทำการทดลองอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน โดยนำก้อนตะกั่ว 2 ก้อน ก้อนหนึ่งหนัก 10 ปอนด์ อีกก้อนหนึ่งหนัก 20 ปอนด์ ทิ้งลงมาจากหอเอนปิซาพร้อมกัน ผลปรากฏว่าก้อนตะกั่วทั้ง 2 ก้อนตกถึงพื้น
พร้อมกัน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีของอาริสโตเติลผิด และของกาลิเลโอถูกต้อง  แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มคนที่ยึดถือทฤษฎีของ อาริสโตเติลอย่างเหนียวแน่นก็ยังไม่เชื่อกาลิเลโออยู่ดี อีกทั้งหาทางกลั่นแกล้งจนกาลิเลโอ ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยปิซา

        หลังจากที่กาลิเลโอลาออกจากมหาวิทยาลัยปิซาแล้ว เขาได้เข้าทำงานในตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ท
ี่มหาวิทยาลัย ปาดัว (Padua University) ในระหว่างนี้กาลิเลโอได้ทำการทดลองเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์หลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่  
ทำการทดลองเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตกของวัตถุ ซึ่งเขาพบว่าในระหว่างที่วัตถุตกลงสู่พื้นนั้น ความเร็วของวัตถุจะเพิ่มขึ้นทุกวินาที  
การทดลองนี้ทางการทหารได้นำไปใช้ในการคำนวณหาเป้าหมายของลูกปืนใหญ่ หลักเกณฑ์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่  
ของวัตถุนี้ทำให้ เกิดวิชาที่เรียกว่า "พลศาสตร์ (Dynamic)" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิชากลศาสตร์

        กาลิเลโอมีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์อย่างมาก แต่ไม่สามารถศึกษาได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากขาดอุปกรณ์ในการ
ศึกษาค้นคว้า ต่อมาในปี ค.ศ. 1608 มีข่าวว่าช่างทำแว่นตาชาวฮอลแลนด์ สามารถประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลขนาดเล็กได้เป็นผล
สำเร็จ ต่อมาในปี ค.ศ. 1610 กาลิเลโอจึงนำหลักเกณฑ์เดียวดันนี้มาสร้างเป็นกล้องโทรทรรศน์ขึ้นเป็นครั้งแรกแต่กล้องโทรทรรศน์
ที่เขาประดิษฐ์ขึ้นในครั้งแรกมีกำลังขยายเพียง 3 เท่า เท่านั้น ต่อมาเขาได้ปรับปรุงกล้องโทรทรรศน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  
และมีกำลังขยายมากถึง 32 เท่า ซึ่งกล้องอันนี้สามารถส่องดูดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาลได้อย่างชัดเจน สิ่งที่กาลิเลโอได้พบเห็นจาก
กล้องโทรทรรศน์ เขาได้บันทึกลงในหนังสือเล่มหนึ่ง และตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาในปีเดียวกัน โดยใช้ชื่อหนังสือว่า Sederieus
Nuncius หมายถึง ผู้นำสารจากดวงดาว ภายในหนังสือเรื่องนี้มีรายละเอียดดังนี้
        - ผิวของดวงจันทร์ ซึ่งปรากฏว่าไม่เรียบเหมือนอย่างที่มองเห็น แต่มีหลุม หุบเหว และภูเขาใหญ่น้อย จำนวนมาก
        - พบว่าดาวมีหลายประเภท ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ ดาวเคราะห์ คือ ดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น โลก ดาวพุธ  
          และดวงจันทร์ เป็นต้น และดาวฤกษ์ คือ ดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ เป็นต้น
        - พบทางช้างเผือก (Milky Way) ซึ่งมีลักษณะเป็นทางขาว ๆ ดูคล้ายหมอกบาง ๆ พาดผ่านไปบนท้องฟ้า ทางช้างเผือก  
          เกิดจากแสงของกลุ่มดาวฤกษ์ซึ่งมีความหนาแน่นมาก
        - เนบิวลา (Nebula) คือ กลุ่มก๊าซ และวัตถุต่าง ๆ ซึ่งมีการรวมตัวกันอย่างหนาแน่น
        - พบวงแหวนของดาวเสาร์ แต่กาลิเลโอไม่ได้เรียกว่าวงแหวน ต่อมาในปี ค.ศ. 1655 ฮอยเกนส์ได้พิสูจน์ว่าเป็นวงแหวน           และเรียกว่า "วงแหวนของดาวเสาร์ (Saturn's Ring)"
        - พบบริวารของดาวพฤหัสบดีว่ามีมากถึง 4 ดวง กาลิเลโอได้ตั้งชื่อดาวบริวารของดาวพฤหัสบดีว่า ซีเดรา เมดิซี (Sidera  
          Medicea) เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดยุคแห่งทัสคานี คอซิโมที่ 2 (Duke of Tuscany Cosimo II) ผู้ซึ่งเป็นทั้งลูกศิษย์  
          และเจ้านายของเขาในเวลาต่อมา และจากการค้นพบครั้งนี้ กาลิเลโอได้ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับการโคจรของโลกรอบดวง
          อาทิตย์ และภายหลังจากการศึกษา กาลิเลโอได้ตั้งทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของสุริยจักรวาล และโลกต้องโคจร
         รอบดวงอาทิตย์
       - พบว่าพื้นผิวของดาวศุกร์มีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์
       - พบจุดดับบนดวงอาทิตย์ (Sun Spot)

       จากการค้นพบครั้งนี้กาลิเลโอได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Letter on the Solar Spot ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุดดับ
บนดวงอาทิตย์ และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการโคจรของดวงดาวในระบบสุริยจักรวาล ว่าอันที่จริงแล้วดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง  
ของสุริยจักรวาล อีกทั้งโลกและดาวดวงอื่น ๆ ต้องโคจรรอบดวงอาทิตย์การค้นพบทางดาราศาสตร์ของกาลิเลโอครั้งนี้มีทั้ง
ข้อดีและข้อเสีย ข้อดีนั้นก็คือทำให้วิชาการด้านดาราศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง อีกทั้งชื่อเสียงของ  
กาลิเลโอก็เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้น เขาได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่งนักปราชญ์ประจำราชสำนักของท่านแกรนด์ดยุคแห่ง
ทัสคานี (Grand Duke of Tuscany) ส่วนข้อเสียเป็นสิ่งที่ส่งผลร้ายอย่างมากต่อกาลิเลโอ คือ ทฤษฎีของกาลิเลโอขัดแย้ง
กับหลักศาสนา และทฤษฎีของอาริสโตเติลที่มีผู้เชื่อถือมากในขณะนั้น แม้ว่ากาลิเลโอจะนำกล้องโทรทรรศน์มาตั้งให้ทุกคน  
ได้ทดลองส่องดู ซึ่งทุกคนก็เห็นเช่นเดียวกับที่กาลิเลโอบอกไว้ แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มคนที่มีความเชื่อถือในทฤษฎีของอาริสโตเติล  
ก็ยังไม่เห็นด้วยกับกาลิเลโอ และกล่าวหากาลิเลโอว่าต่อต้านศาสนา ทำให้กาลิเลโอได้รับคำสั่งจากศาสนจักรให้หยุดแสดง  
ความคิดเห็นที่ขัดแย้งต่อหลักศาสนา หลังจากนั้นกาลิเลโอได้เดินทางไปยังเมืองฟลอเรนซ์ และอยู่ที่นี่เป็นเวลานานถึง 7 ปี  
และในระหว่างนี้ เขาได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับดาราศาสตร์ และในปี ค.ศ. 1618 กาลิเลโอได้พบดาวหางถึง 3 ดวง และได้พบ
ความจริง เกี่ยวกับดาวหางที่ว่า ดาวหางเป็นดาวฤกษ์ชนิดหนึ่งเช่นกัน แสงที่เกิดนี้เกิดจากแสงของดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับรุ้ง
กินน้ำ กาลิเลโอได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ลงในหนังสือชื่อว่า Saggiatore แต่ทฤษฎีข้อนี้ของกาลิเลโอ ผิดพลาด

        ใน ปี ค.ศ. 1632 กาลิเลโอได้เขียนหนังสือขึ้นมาอีกเล่มหนึ่งชื่อว่า Dialogo Del Due Massimi Sistemi Del Mondo
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงข้อความที่ต่อต้านกับหลักศาสนา กาลิเลโอจึงเขียนขึ้นในเชิงบทละคร ซึ่งมีตัวเอกด 2 ตัว สนทนา เกี่ยวกับทฤษฎี
ของปโตเลมี และโคเปอร์นิคัส แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสอยู่ดี ทำให้เขาถูกต่อต้าน
อย่างหนักอีกทั้งหนังสือเล่มนี้ก็ถูกห้ามมิให้จำหน่ายในประเทศอิตาลีอีกด้วย ส่วนตัวเขาถูกสอบสวนและต้องโทษจำคุกเพื่อให้
สำนึกบาปที่ คัดค้านคำสอนในคริสต์ศาสนา เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต
ต่อมาเขาถูกบังคับให้กล่าวคำขอโทษ เพื่อแลกกับอิสระและชีวิตของเขา แม้ว่าเขา
จะถูกปล่อยตัวออกจากคุก แต่เขาก็ยังต้องอยู่ในความควบคุมของอัสคานิโอ ปิคโคโรมินิ (Ascanio Piccoromini) บาทหลวง
ผู้หนึ่งซึ่งในระหว่างนี้เขาได้ทำการทดลองเกี่ยวกับฟิสิกส์ และตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า Disorsi


ในตอนที่เขาถูกบังคับให้สารภาพบาป : เขาถูกบังคับให้นั่งคุกเข่า และบังคับให้สารภาพบาป และ บอกว่าโลกแบน ต่อหน้าไม้กางเขน หรือ รูปปั้นพระเยซูที่โบสถ์ และให้บอกว่าโลกแบน แต่กาลิเลโอก็แอบกระซิบเบาๆ ว่า ก็โลกมันกลมจริงๆนี่


        เมื่อการค้นคว้าทางดาราศาสตร์ของเขามีอุปสรรค เขาจึงหันมาทำการค้นคว้าเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์แทน  
กาลิเลโอได้ประดิษฐ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขึ้นหลายชิ้น ได้แก่ นาฬิกาน้ำ ไม้บรรทัด และเทอร์มอมิเตอร์ (Thermometer)  
เป็นต้น และในปี ค.ศ. 1636 กาลิเลโอได้เขียนหนังสือขึ้นเล่มหนึ่งชื่อว่า Dialoghi Della Nuove Scienze แต่ตีพิมพ์ในปี  
ค.ศ. 1638 โดยเอสเซฟเวียร์ (Elzavirs) ที่เมืองเลย์เดน (Leyden) หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิชากลศาสตร์  
หลังจากหนังสือเล่มนี้เผยแพร่ออกไปกลับได้รับความนิยมมากกว่าหนังสือดาราศาสตร์ของเขา อีกทั้งไม่ถูกต่อต้านจากศาสนาจักรอีกด้วย


        ในช่วงสุดท้ายของชีวิต กาลิเลโอได้ค้นคว้า และเฝ้ามองดูการเคลื่อนไหวของดวงดาวบนท้องฟ้า รวมถึงดวงจันทร์ด้วย  
กาลิเลโอได้เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของดวงจันทร์จนพบว่า ดวงจันทร์ใช้เวลา 15 วัน ในการโคจรรอบโลก ซึ่งถือว่าเป็นการค้นพบ  
ครั้งสุดท้ายของเขา เพราะหลังจากนั้นประมาณ 2 - 3 เดือน ในบั้นปลายชีวิตของกาลิเลโอ นั้นน่าสงสารยิ่ง เพราะเขาป่วยจนตาบอด
เพราะมาจากการใช้สายตาส่องดูกล้องมากเกินไป ทั้งยังต้องทุกข์ทรมานจากโรคไส้เลื่อนและโรคนอนไม่หลับ
แม้กระทั่งตอนตาย หลุมศพเขายังห้ามมิให้มีแผ่นศิลาจารึกให้เขาอีกด้วย
ศพของเขาเสีย ชีวิตในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1642 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
และได้ถูกนำไปฝัง ณ Church of Santa Croce หลังจากนั้นอีก 50 ปี ก็ได้มีการสร้างอนุสาวรีย์ไว้เป็นเกียรติกับความสำเร็จของเขา   
หลัง จากเขาเสียชีวิตไปแล้วเป็นเวลาถึง 100 ปี ต่อมา หนังสือของเขา ที่เขียนไว้ จึงขายดี และ กาลิเลโอ ก็เป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก

มิกกี้เมาส์




ประวัติมิกกี้เมาส์

เรื่องราวของมิคกี้ เม้าส์เริ่มขึ้นในปี 1928 โดย
"วอลเตอร์ อีลิส ดิสนีย์" ( วอลล์ ดิสนีย์)ภายหลังจากที่มีการตั้งบริษัท วอลล์ ดิสนีย์ ร่วมกันกับ'รอย'
นักผลิตการ์ตูนซึ่งเป็นน้องชายของเขา ครั้งแรกที่พวกเขาสร้างตัวการ์ตูนตัวนี้ขึ้นมานั้น พวกเขาเรียกมันว่า
"มอร์ติเมอร์ เมาส์" แต่ในเวลาต่อมาหลังจากที่ภรรยาของเขาแนะนำว่า ควรจะเปลี่ยนชื่อตัวการ์ตูนนี้ใหม่
เขาจึงเปลี่ยนชื่อตัวการ์ตูนเป็น "มิคกี้ เมาส์" (ในอิตาลีจะเรียกว่า "โทโพลิโน่") มิคกี้เป็นหนูซึ่งมีหูกลมใหญ่
สีดำและมีแขนขาที่เล็กมากโดยมิคกี้จะใส่กางเกงขาสั้นสีแดงซึ่งมีกระดุมสีเหลือง 2 เม็ดติดอยู่บนกางเกง  
รองเท้าและถุงมือก็จะเป็นสีเหลืองด้วย มิคกี้ เมาส์ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกที่โรงภาพยนตร์ในนิวยอร์ค และ
การ์ตูนเรื่องนี้มีจุดเด่นที่เพลงประกอบที่ไพเราะ ภาพและฉากสวยงาม หลังจากนั้นดิสนีย์ก็ได้ผลิตการ์ตูนขึ้น
อีกเรื่องคือเรื่องลูกหมูสามตัว โดยซิลลี่ ซิมโฟนี่ การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับรางวัลออสก้าร์ในปี 1933 ถึง 31 รางวัล
              
  มิคกี้ เมาส์เปิดตัวในโลกของการ์ตูนครั้งแรกในปี 1930 เป็นตัวการ์ตูนซึ่งมี
บุคลิกที่มีความอดทน อดกลั้น มีความฉลาดหลักแหลม มองโลกในแง่ดี และกล้าหาญ ที่สำคัญมิคกี้มีสัญชาตญาณ
พิเศษในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน และด้วยบุคลิกที่โดดเด่นในแง่นี้เองทำให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ชอบที่จะใช้เหตุผล
เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสู้ เช่นการชนะศัตรูที่มีร่างกายที่แข็งแรงกว่ามิคกี้มาก  

การผจญภัยของมิคกี้ เมาส์มีมากมายหลายตอน ได้แก่ มิคกี้ เม้าส์กับความลี้ลับของจุดดำ, มิคกี้ เมาส์
ราชาแห่งหนู, มิคกี้ เมาส์นักหนังสือพิมพ์, มิคกี้ เมาส์และความลี้ลับของชายในสายหมอก, มิคกี้ เมาส์กับปีศาจกอริลล่า,  
มิคกี้ เมาส์ยุคหิน ฯลฯ สำหรับเรื่องการแต่งตัวที่ดูทันสมัยของมิคกี้ เมาส์ในบางครั้งก็จะสวมใส่กางเกงขายาวสีแดง
เสื้อถักรัดรูปสีน้ำเงินซึ่งมีแขนเสื้อสั้น ถุงเท้าและถุงมือเป็นสีเหลืองเข้าชุดกัน ในปี 1940 มิคกี้ เมาส์ ได้รับขนานนามจาก
นักวิจารณ์ ภาพยนตร์ว่าเป็นการ์ตูนที่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดใน ยุคนั้น เพราะเป็นการ์ตูนที่เต็มไปด้วยจินตนาการ

ตัวการ์ตูนอีกตัวหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นเพื่อนสนิทของมิคกี้ก็คือ กุฟฟี่ ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด
ซึ่งมักจะติดตามมิคกี้ไปทุกๆที่ ในอเมริกาเรียกกุฟฟี่ว่า กูฟี่ ซึ่งชื่อนี้มีความหมายว่าตัว ตลก และความสนุกสนาน จากชื่อนี้
เองสามารถเดาถึงบุคลิกลักษณะนิสัยของกุฟฟี่ได้ ในความเป็นจริงแล้วกุฟฟี่จะมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกับมิคกี้ ซึ่งกุฟฟี่จะคอย
กวนใจมิคกี้บ่อยครั้ง ตามประวัติแล้วกุฟฟี่จะคอยสร้างความครื้นเครงให้ผู้อื่น โดยการทำฟองสบู่ ในขณะที่มิคกี้รู้สึกท้อแท้ช่วย
ให้มิคกี้คลายความเศร้าได้ กุฟฟี่ถูกสร้างขึ้นปี 1932 ในการ์ตูนเรื่องมิคกี้ เมาส์ กุฟฟี่จะแต่งกายด้วยชุดสีแดงคล้ายกับชุดนอน  
และสวมเสื้อคลุมไม่มีแขนสีฟ้า กุฟฟี่จะเปลี่ยนเป็น ซุปเปอร์กูฟ หลังจากที่ได้รับประทานถั่วชนิดพิเศษเข้าไป  
ซึ่งถั่วดังกล่าวจะปลูกอยู่ในสวนภายในถ้วยใบหนึ่ง เมื่อทานถั่วเข้าไปแล้วกุฟฟี่จะมีพลังเหมือนกับซุปเปอร์แมน  
มีกำลังมหาศาล สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว
              
  มินนี่ เม้าส์ ซึ่งเป็นคู่หมั้นของมิคกี้ ถือได้ว่าเป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง ตัวการ์ตูนนี้เกิด
ขึ้นมาจากความเป็นผู้หญิง ซึ่งมีอยู่ในทุกสังคมและความคิดของมินนี่ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามทัศนคติ มินนี่มีบุคลิกที่อ่อน
หวานอ่อนไหว ชอบการต่อสู้และมีอารมณ์ที่ค่อนข้างหุนหันพลันแล่น มินนี่จะเป็นตัวแทนของเพศหญิง ฟอยด์ ก๊อตเฟรตสัน
เป็นนักวาดการ์ตูนที่สร้างมินนี่ เม้าส์ขึ้นมา มินนี่เป็นตัวการ์ตูนตัวหนึ่งในการ์ตูนเรื่องมิคกี้ เมาส์ โดยส่วนใหญ่แล้วมินนี่จะ
ปรากฏตัวในห้องครัว ขณะที่ทำเค้กกับคาร์ราเบลล่า ซึ่งเป็นเพื่อนของมินนี่ การเป็นคู่หมั้นของมิคกี้และมินนี่เป็นตัวแทน
ของความผูกพัน ซึ่งเชื่อมทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันชั่วนิรันดร์  

ถึงแม้ว่ามินนี่ และมิคกี้จะไม่มีลูกด้วยกันแต่ในประวัติของมิคกี้
นั้นมักจะมีหนูเด็กๆ 2 ตัวปรากฏอยู่เสมอๆ หนูทั้งสองตัวนั้นชื่อว่า ทิป และแท๊ปซึ่งเป็นหลานของมิคกี้ ทิปและแท๊ปปรากฎตัวเป็น
ครั้งแรกในปี 1932 ในตอนที่ชื่อว่า"หลานของมิคกี้" ซึ่งผู้ที่สร้างสรรตัวละครนี้ขึ้นมาคือ ฟอยด์ ก๊อตเฟรตสัน ในปี 1934 ในตอน  
"รถบดถนนของมิคกี้" ทิปและแท๊ปจะมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับมิคกี้ เม้าส์ซึ่งเป็นลุง โดยที่ทิปและแท๊ปจะใส่เสื้อคลุมขน
สัตว์ที่เป็นชุดยาวมีสายรัดและสวมหมวกของกะลาสี ทิปและแท๊ปเป็นหนูที่ฉลาด ทิปและแท๊ปจะต่อต้านหลานของมินนี่ ซึ่งมีชื่อ
ว่าเมโลดี้

การผจญภัยของทิปและแท๊ป เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาพบกับพลูโตซึ่งเป็นสุนัขของมิคกี้ พลูโต เป็นสุนัขที่
ซื่อสัตย์ อ่อนไหว มีความอยากรู้อยากเห็นสูง พลูโตปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในการ์ตูนเรื่องมิคกี้ เม้าส์ในปี 1930 ในความ
เป็นจริงแล้วสุนัขก็ย่อมที่จะมีพฤติกรรมเหมือนสุนัข ในขณะที่กุฟฟี่และมิคกี้รวมถึงตัวการ์ตูนตัวอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะเป็น
สัตว์แต่ก็สามารถพูดได้อย่างมนุษย์ปกติทั่วๆไป 
                                                   

หมีพูห์




ประวัติหมีพูห์

 
หมีพูห์ หรือ วินนี-เดอะ-พูห์ ( Winnie-the-Pooh) เป็นตัวละครหมีที่สร้างขึ้นโดย เอ. เอ. มิลน์ และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคมค.ศ. 1926 ในหนังสือเรื่อง วินนี-เดอะ-พูห์ และ เดอะเฮาส์แอตพูห์คอร์เนอร์ (1928)  
  
เนื้อเรื่องในหนังสือมีลักษณะคล้ายกับ ป่าแอชดาวน์ ในเมือง อีสต์ซัซเซก ในประเทศอังกฤษ โดยชื่อ วินนี มาจากชื่อตุ๊กตาหมีของทหารชาวแคนาดานายหนึ่ง ซึ่งตั้งตามชื่อเมือง วินนีเพก ในประเทศแคนาดา
  
นอกจากหมีพูห์แล้วเพื่อนในป่าที่ได้รับความนิยมได้แก่ พิกเลต ทิกเกอร์ และ อียอร์
ต่อมา วอลต์ดิสนีย์ ได้นำวินนี-เดอะ-พูห์ มาจัดทำและได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Winnie the Pooh (โดยไม่มีเครื่องหมายขีด) และหมีพูห์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของดิสนีย์  
หมีที่ชื่อว่า วินนี่ เดอะ พูห์ เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเอ.เอ.ไมลน์ ( A.A.Miline) นักเขียนชาวอังกฤษ มีชื่อเต็มว่า อลัน อเล็กซานเดอร์ ไมลน์
ตำนานของหมีพูห์เริ่มจากการที่ทหารกองทัพแคนาดาได้นำหมีน้อยตัวหนึ่ง ชื่อว่า วินนี่ เพ็ก แก่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการร่วมรบกันระหว่างกองทัพแคนาดาและอังกฤษในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 1 ( ค.ศ.1914-1918)  
หมีน้อยตัวนี้ได้ไปอยู่ที่สวนสัตว์กรุงลอนดอน ในปี 1919 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวลอนดอนมาก รวมถึงหนูน้อยคริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของนักเขียนชื่อเอ.เอ.ไมล์น
หนูน้อยคริสโตเฟอร์นำชื่อวินนี่ เพ็ก ไปตั้งชื่อตุ๊กตาหมีตัวโปรดว่า วินนี่ เดอะ พูห์ โดยคำว่า “ พูห์” (Pooh) เป็นชื่อของหงส์ในกวีบทหนึ่ง
ต่อมาเอ.เอ.ไมลน์ จึงเริ่มเขียนเรื่องราวของวินนี่ เดอะ พูห์ และเพื่อนพ้องของมัน โดยหนังสือวางจำหน่ายเมื่อปีค.ศ.1926 หรือ 74 ปีที่แล้ว
กระทั่งปี 1996 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือสูงถึง 20 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่า 25 ภาษา ในขณะเดียวกันวอลต์ ดิสนีย์ ซื้อลิขสิทธิ์หมีพูห์และนำไปสร้างการ์ตูนบนแผ่นฟิล์มในปี 1996 พร้อมกับผลิตภัณฑ์มากมายก่ายกอง ทำให้หมีพูห์เป็นตัวการ์ตูนยอดนิยมอันดับ 2 ของเด็กอเมริกันรองจากมิกกี้ เม้าส์  
หมีพูห์รู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเมื่อ “ ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง” นั่นคือ น้ำผึ้งไง!    
อืม... แต่จะทำอย่างไรหากเขาพบเพียงโถเปล่าที่มีน้ำผึ้งเหนียว ๆ
ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
“ งั้นเราก็ต้องช่วยจัดการให้โถเกลี้ยงเร็ว ๆ หน่ะสิ” เจ้าหมีสมองเล็ก (แต่บางครั้งก็ฉลาดล้ำลึก)
ตัวนี้อาจพยายามหลอกเจ้าผึ้งขี้สงสัยว่ าตัวเขาคือเมฆฝนสีดำก้อนใหญ่ หรือถ้าคิดอีกที
การแวะไปบ้านกระต่ายเพื่อหาขนมหวานทานดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่า ( และเจ็บตัวน้อยกว่าด้วย)
แต่ไม่ว่าพูห์จะเลือกทำอะไรก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ เช่น ติดอยู่ในรูกระต่าย
แคบ ๆ และไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวออกมาได้ เป็นต้น แต่ก็นั่นแหล่ะ เขามักจะหาทางออกได้เสมอ
เพราะแม้สมองของเขาจะเต็มไปด้วยนุ่น แต่เพื่อนรักของคริสโตเฟอร์ โรบิน
หรือที่ใคร ๆ เรียกว่าเจ้าหมีแก่จอมงี่เง่าตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม  
ในชีวิตจริง วินนี่ย์เดอะพูห์ ( หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอ็ดเวิร์ดแบร์ ในช่วงแรกเมื่อเขาปรากฏตัวใน
‘When We Were Very Young’ คือ ของเล่นสุดรักสุดหวงของคริสโตเฟอร์ มิลล์
( ลูกชายของเอ. เอ. มิลล์) ซึ่งได้รับเจ้าหมีน้อยตัวนี้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งขวบของเขาใน
ปี 1921  
ปัจจุบัน วินนี่ย์เดอะพูห์ถูกจัดแสดงให้แฟน ๆ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ชมกันที่ Children’s  
Reading Room ใน New York Public Library บนถนน West 53rd Street
ผู้ให้เสียงสำหรับตัวการ์ตูนตัวนี้ คือ สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังและนักพากย์ที่สตูดิโอดิสนี่ย์  
  
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องวินนี่ย์เดอะพูห์  
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของทางสตูดิโอที่นำวรรณกรรมเยาวชนอันแสนน่ารักของเอ. เอ. มิลล์  
ถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม วินนี่ย์เดอะพูห์และผองเพื่อน , คริสโตเฟอร์ โรบิน, เจ้าลาอีออร์,  
นกฮูก, แคงก้า และเบบี้รู รวมถึงกระต่ายและโกเฟอร์ ต้องเผชิญกับฝูงผึ้งและรังน้ำผึ้ง
อันแสนหอมหวาน มีการดัดแปลงเรื่องราวดั้งเดิมของเจ้าหมีเท็ดดี้แบร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกตัวน
ี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเพิ่มตัวละครใหม่ นั่นคือ โกเฟอร์  
นี่คือภาพยนตร์การ์ตูนพิเศษขนาดสั้นกำกับโดย วูลฟแกงค์ ไรเดอร์แมน  
ทีมพากย์เสียงโดย สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ( พูห์) , บรูซ ไรเดอร์แมน (คริสโตเฟอร์ โรบิน),  
ราล์ฟ ไรต์ (อีออร์), โฮวาร์ด มอร์ริส (โกเฟอร์), บาบาร่า ลัดดี้ (แคงก้า), ฮัล สมิธ (นกฮูก),   จูเนียส แมธธิวส์ (กระต่าย) และคลินต์ โฮวาร์ด (รู)  
ความยาว 26 นาที เซบาสเตียน เคบอตต์ ผู้ดำเนินเรื่อง และเพลงประกอบภาพยนตร์โดย
ริชาร์ด เอ็ม. และ โรเบิร์ต บี. เชอร์แมน  
สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ได้รับคำชมเชยอย่างมากจากการพากย์เสียงเป็นพูห์และเป็นส่วนหนึ่ง  
ที่ทำให้หนัง
ประสบความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่ออีก 3 ตอน รวมถึงการนำตอนต่อทั้งหมดออกฉายรวมกันด้วย

น้ำอัดลม





น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีสีสันแตกต่างกันไป มีคนนิยมดื่มมากและสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในร้านที่ขายเครื่องดื่ม นิยมบรรจุในรูปแบบกระป๋อง ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เป็นต้น

ส่วนประกอบ

น้ำอัดลมมีส่วนประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ น้ำ (น้ำนี้จะต้องเป็นน้ำสะอาด สามารถใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน), น้ำตาล, สารปรุงแต่งที่เรียกว่าหัวน้ำเชื้อ ซึ่งเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี, และกรดคาร์บอนิกซึ่งถูกอัดเข้าในภาชนะบรรจุ บางครั้งมีส่วนผสมของน้ำผลไม้เล็กน้อย น้ำอัดลมแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมลับเฉพาะของตนเอง
กรดคาร์บอนิกในภาชนะบรรจุเมื่อสัมผัสอากาศ จะแยกตัวเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กับ น้ำ เป็นฟองที่เกิดขึ้นเวลาเปิดขวดหรือกระป๋อง การเขย่าก็เป็นการกระตุ้นปฏิกิริยาของกรดคาร์บอนิกให้เกิดเร็วขึ้นและมาก ขึ้น ฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็เกิดมากขึ้นจนล้นภาชนะได้
น้ำอัดลมแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์ ดังนี้
  1. น้ำอัดลมรสโคล่า – น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากใบของต้นโคคาอยู่ด้วย ปริมาณของคาเฟอีนใน น้ำอัดลมชนิดโคล่าก็จะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น มาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
  2. น้ำอัดลมที่ไม่ใช่โคล่า – ได้แก่น้ำอัดลมใสไม่มีสีที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ และน้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และรูทเบียร์ เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
จากการวิจัยพบว่า สารกระตุ้นและสีผสมอาหารที่อยู่ในน้ำอัดลม จะมีผลต่อการเป็นโรคสมาธิสั้นในเด็กและทำลายเนื้อเยื่อสมองบางส่วนอีกด้วย

น้ำ




ความสัมพันธ์ผลึกน้ำกับพลังคลื่นเสียง


ความสัมพันธ์ผลึกน้ำกับคลื่นเสียงจากหนังสือข่าวจากน้ำ 
                การวิจัยที่ก่อให้เกิดความตื่นตัวอย่างใหญ่หลวงต่อความสำคัญของคลื่นเสียง ที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ คือ การวิจัยเรื่องผลึกน้ำของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ชื่อ มัตซูระ อิโมโต




จากหนังสือข่าวจากน้ำ (Massage from Water) เขาได้ค้นพบวิธีถ่ายภาพผลึกน้ำ (Water Crystal) โดยนำน้ำมาทำให้เย็นจัดจนตกผลึกที่เขาได้ทำการถ่ายรูปผลึกน้ำในภาวะที่แตก ต่างกันด้วยกล้องขยายขนาด 200-500เท่า แล้วมาเปรียบเทียบ  
จากการวิเคราะห์ผลึกของน้ำที่สังเกตได้พบว่าผลึกน้ำแบ่งออกเป็นสองแบบใหญ่ ๆ ได้แก่
แบบที่ 1  ผลึกน้ำที่มีคุณภาพดี

                          

                 มีลักษณะเป็นผลึกน้ำที่เป็นรูปผลึกหกเหลี่ยม    ซึ่งเป็นผลึกน้ำที่มีคุณภาพที่สุด จะอยู่ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพต่าง ๆ เช่น ในน้ำแร่ที่มีคุณภาพสูง เป็นต้น จากการวิจัยทางการแพทย์สมัยใหม่เกี่ยวกับคุณประโยชน์แห่งน้ำต่อร่าง กาย พบว่าผลึกน้ำแบบนี้ถ้ามีอยู่ในอวัยวะหรือร่างกายส่วนใดจะมีคุณสมบัติ พิเศษในการสามารถจะแทรกผ่านผนังเซลล์ของร่างกายเข้าไปชะล้างของเสียที่อยู่ ภายในเซลล์ออกมาได้ดี ลดความเสี่ยงของการสะสมสารพิษที่ก่อให้เกิดเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งบริเวณ ร่างกายส่วนนั้น

แบบที่สอง ผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ

                              

         เป็นผลึกน้ำที่ไม่เป็นรูปผลึก เป็นผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ จะอยู่ในแหล่งน้ำที่มีคุณภาพไม่ดี เช่นแหล่งน้ำ ประปาที่ผ่านคลอรีนสูง ๆ ผลึกน้ำแบบนี้ถ้าอยู่ในอวัยวะหรือร่างกายส่วนใดจะมีคุณสมบัติต่ำในการขับ ล้างสารพิษในเซลล์ เนื่องจากเป็นผลึกที่มีโมเลกุลใหญ่มีความยากลำบากที่จะ แทรกผนังเซลล์เข้าไปชะล้างสารพิษในเซลล์ออกมา
               เขาได้นำน้ำจากแหล่งที่มีคุณภาพดีให้ผ่านการรับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจาก อุปกรณ์ใช้งานในชีวิตประจำวัน    เช่น เตาไมโครเวฟ โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ พบว่ามีผลทำให้ผลึกน้ำเปลี่ยนแปลงไปเป็นผลึกน้ำที่ไม่ มีคุณภาพ

  
                 

                                     ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากเตาไมโครเวฟ

            
                                 ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากโทรศัพท์เคลื่อนที่
   
                   ผลึกน้ำก่อนและหลังการรับคลื่นจากโทรทัศน์
 ต่อ มาได้ทำการทดลองจัดให้ผลึกน้ำรับพลังคลื่นเสียงจากดนตรีป๊อป ดนตรีคลาสสิคและดนตรีร๊อคเฮฟวี่เมททัล พบว่าเกิดปรากฏการณ์ความแตกต่างของ ผลึกน้ำได้อย่างน่าสนใจ  คือผลึกน้ำ ที่ส่งผ่านพลังคลื่นเสียงจากเพลงป๊อบชื่อเพลง Yesterday ของ The Beatle และดนตรีคลาสสิค มีผลึกน้ำที่สวยงามและเป็นผลึกน้ำที่มีคุณภาพสุง แตกต่าง จากผลึกน้ำที่ส่งผ่านพลังคลื่นเสียงจากดนตรีร๊อคเฮฟวี่เมททัล ที่กลายเป็น ผลึกน้ำที่ไม่มีคุณภาพ
                
                               เพลง Yesterday ของ The Beatle
                      
                             เพลง Air for the G string ของ Bach

                                  

                                       เพลง Pastoral  ของ Beethoven

                        

                                         เพลง Swan Lake ของ ไซคอฟสกี้

                                

                                                     เพลง Heavy Metal

ได้ มีการทดลองต่อไปอีกกับพลังคลื่นเสียงที่ได้จากการสวดมนต์ จากลามะธิเบตและการสวดของบาทหลวง พบว่าให้ผลึกน้ำที่มีคุณภาพสูงและมีความสวยงามคล้ายกับประกายเพชร 


        
                             เสียงสวดมนต์ของลามะธิเบต
                             เสียงสวดมนต์ของบาทหลวงศาสนาคริสต์
การ ทดลองของเขากับผลึกน้ำที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ก็คือการทดลองส่งพลังคลื่น เสียงจากมนุษย์ที่พูดออกมาด้วยคำพูดออกมาในเชิงบวก ที่เป็นการเอื้ออาทรต่อมนุษย์ที่มีต่อกัน เช่น ขอบคุณ ขอให้มีความสุข เปรียบเทียบกับพลังคลื่นเสียงของมนุษย์ที่พูดออกมาด้วยคำพูดในเชิงลบภายใต้ จิตใจที่คิดร้ายต่อมนุษย์ด้วยกัน เช่น ไอ้โง่ ผลึกน้ำดังกล่าวมีลักษณะเป็นวงดำและมีสีสันรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว การวิจัยก็ได้สร้างความประหลาดใจที่มีการพบว่าคำพูดทางบวกหรือทางลบของ มนุษย์ก็มีอิทธิพลต่อมนุษย์ด้วยเป็นอย่างมาก
                            รักและขอบคุณ
                                     ไอ้บ้า
                                        เทวดา
                                               ปีศาจ 
        
    
                                           ทำเดี๋ยวนี้นะ
                                              ไอ้โง่
                                        บัดซบฉันจะฆ่าแก
                   จากการทดลองที่ผ่านมาจะเห็นว่าน้ำเป็นสื่อที่ละเอียดอ่อนที่สามารถจะมีรูป ร่างของผลึกน้ำที่จะตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ส่งอิทธิพลต่อมัน โดยเฉพาะพลังแห่งคลื่นเสียงและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา
                   ดังนั้นการที่ในตัวคนมีน้ำประมาณ 70 % ของน้ำหนักร่างกาย กระจายอยู่เป็นองค์ประกอบในเซลล์ร่างกายดังนั้นรูปร่างผลึกน้ำในร่างกายและ ในอวัยวะของเราย่อมได้รับผลกระทบทั้งทางบวกและลบจากอิทธิพลแห่งพลังคลื่น เสียงจากสิ่งแวดล้อมภายนอกหรือแม้แต่พลังแห่งความคิดของตนเองและผู้อื่น ด้วย 
ซึ่ง ถ้าอวัยวะส่วนใดได้รับอิทธิพลในทางลบจะมีผลทำให้อวัยวะส่วนนั้นเกิดผลึกน้ำ ที่มีรูปร่างใหญ่สีดำน่าเกลียด ขาดคุณสมบัติที่จะไปแทรกผนังเซลล์เข้าไปชะล้างของเสียภายในเซลล์ได้ มีผลทำ ให้เกิดการสะสมสารพิษในอวัยวะส่วนนั้นทำให้เกิดเนื้องอก มะเร็ง หรือการเจ็บป่วยแก่อวัยวะส่วนนั้นได้  จากผลของการเสียหายของอวัยวะดัง กล่าว จะส่งผลกระทบในทางลบต่ออวัยวะอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ใน ทางตรงกันข้ามซึ่งถ้าอวัยวะส่วนใดได้รับอิทธิพลในทางบวกจะมีผลทำให้อวัยวะ ส่วนนั้นเกิดผลึกน้ำที่มีรูปร่างหกเหลี่ยมมีคุณสมบัติที่จะไปแทรกผนังเซลล์ เข้าไปชะล้างของเสียภายในเซลล์ได้อย่างง่ายดาย มีผลทำให้ไม่มีสารพิษสะสมใน อวัยวะส่วนนั้น มีผลทำให้อวัยวะส่วนนั้นแข็งแรงมีสุขภาพดี ส่งผลให้บุคคลผู้นั้นมีสุขภาพ ร่างกาย อารมณ์และจิตใจที่ดี
ดัง นั้นในฐานะที่มนุษย์ที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบในร่างกายสามในสี่ส่วน อิทธิพล แห่งคลื่นเสียงย่อมมีอิทธิพลทั้งทางบวกและทางลบต่อร่างกายมนุษย์อย่างไม่ ต้องสงสัย   ดังนั้นการพลังการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงที่มีคุณภาพ ซึ่งมีพลังที่บริสุทธิ์หรือคล้องจองกับการสั่นสะเทือนของเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงสวดมนต์ ที่เลือกสรรอย่างถูกหลักวิชาการและจิตวิญญาณ ก็ย่อมเป็นระบบ การบำบัดที่มีเหตุผลสำหรับการรักษาสุขภาพ ถ้าใช้อย่างเหมาะสมกับร่างกายใน สถานที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม การ ที่เราได้รับน้ำที่มีคุณภาพ ,พลังคลื่นเสียงแห่งดนตรี,บทสวดมนต์และพลังแห่งคำพูดในเชิงบวก ย่อมจะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเขาเป็นอย่างดี









ทฤษฎีทางฟิสิกส์เกี่ยวกับพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์
ทฤษฎีทางฟิสิกส์

          สสารทุกชนิดจะอยู่ในสภาวะที่มีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในระดับ อนุภาคของอะตอม เป็นผลทำให้ ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้น   
            การสั่นสะเทือนภายในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ มีผลทำให้ ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ด้วยเครื่องมือตรวจวัดความร้อนที่เรียกว่าเทอร์โมกราฟ ฟี่จากภาพโดยแสดงผลออกมาเป็นแสงสีต่าง ๆ ตามอุณภูมิความร้อนที่เกิดจากพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย







ทฤษฎีการบำบัดด้วยพลังคลื่นเสียง
1. อวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายมีการตอบสนองต่อแรงอัดและแรงขยายแต่ละอย่างแตกต่างกัน
2.แต่ละส่วนของร่างกายจะมีการสะท้อนเสียงได้ตามธรรมชาติและมีการตอบสนองได้ดีกับเสียงที่สั่นสะเทือนในระดับเดียวกัน 
3.
ความสั่นสะเทือนที่ไม่ประสานกันกับแต่ละส่วนของร่างกายจึงอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

      
        เหตุที่ความ สั่นสะเทือนที่ไม่ประสานกันก่อให้เกิดอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายได้ เนื่อง จากปกติเซลล์ร่างกายจะเลือกรับรังสีหรือการสั่นสะเทือนปกติจากสภาพแวดล้อม ยามที่ต้องการ แต่ถ้าความเข้มของรังสีและการสั่นสะเทือนของสภาพแวดล้อมมีมาก เซลล์อาจจะดูดซับเข้าไปแม้เมื่อไม่ต้องการก็ตาม การสั่นสะเทือนมากเกินไป เนื่องจากสภาวะการสั่นสะเทือนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่เหมาะสมในสภาพแวด ล้อม เซลล์ร่างกายที่ได้รับการอัดประจุมากเกินไปก็อาจทำให้เซลล์นั้น ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับความถี่และรูปแบบการเจริญเติบโตไปจนถึงจุดเสีย หายได้ โดยมีแนวโน้มที่จะกลายสภาพเป็นเซลล์ที่ขาดการสั่นสะเทือน ซึ่งมีสภาพ คล้ายกับเซลล์ที่ขาดสารอาหาร โดยมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนขั้วเป็นกลาง และเปลี่ยนความถี่ นั่นคือการเปลี่ยนรูปแบบการเจริญเติบโตของมัน
                ซึ่งพลังคลื่นความถี่ดังกล่าวทำให้เกิดปฏิกิริยาสร้างมลภาวะได้เช่นเดียวกับ อาหารที่เป็นพิษ มลภาวะสามารถเปลี่ยนสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า หรือความถี่ของเซลล์ทำให้ก่อเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อสนามพลังใหญ่ของอวัยวะ เนื่องจากว่าเมื่อเซลล์บริเวณอวัยวะใดเกิดความเสียหายจำนวนมาก อวัยวะนั้นๆก็จะเกิดความเสียหายจนทำให้มีการทำงานที่ผิดปกติไป ซึ่งจะกระทบ ต่อระบบของร่างกายตลอดร่าง ปฏิกิริยาลูกโซ่แบบนี้สามารถนำไปสู่การเหนื่อย ล้าแบบเรื้อรัง หมดแรง และเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ
                การมีสุขภาพที่ไม่ดีหรือมีโรค เชื่อว่ามีผลทำให้ความถี่ของการสั่นสะเทือนของเซลล์และ
อวัยวะต่าง ๆ ผิดไป ดังนั้นหลักการแห่งการบำบัดด้วยคลื่นเสียงส่วนใหญ่จึงมีจุดประสงค์ เพื่อฟื้นฟูและเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับความถี่นี้ในอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย โดยการส่งคลื่นที่ประสานกันได้อย่างกลมกลืนไปยังจุดที่มีปัญหา ดังนั้นการสั่นสะเทือนที่บริสุทธิ์หรือคล้องจองกับการสั่นสะเทือนของเซลล์ใน อวัยวะต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงสวดมนต์ ที่เลือกสรรอย่างถูกหลักวิชาการและจิตวิญญาณ ก็ย่อมเป็นระบบ การบำบัดที่มีเหตุผลสำหรับการรักษาสุขภาพ ถ้าใช้อย่างเหมาะสมกับร่างกายใน สถานที่เหมาะสมและเวลาที่เหมาะสม
               


                 เสียงอาจนำมาใช้ในการรักษาได้อีกหลากหลายวิธี เช่น ส่วนการบำบัดด้วยคลื่นเสียงด้วย
การร้องเพลง หรือการสวดมนต์ ผู้รับการบำบัดจะได้รับการฝึกการเปล่งเสียงเพื่อรักษาตัวเอง อาจทำคนเดียว หรือเป็นหมู่คณะก็ได้ และไม่จำเป็นต้องร้องเพลงเป็นหรือมีความรู้ทางดนตรีมา ก่อน ส่วนแนวทางอื่น ๆ ได้แก่ ดนตรีบำบัดและนาฎบำบัด และนักบำบัดบางคนจะใช้การร้องเพลงและการสวดมนต์เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการ หายใจ เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายและกระตุ้นให้ร่างกายมีพลังในการเยียวยาตัว เอง ซี่งจะได้ผลใกล้เคียงกับการทำสมาธิและการฝึกโยคะ กล่าวกันว่าถ้านำการ บำบัดด้วยคลื่นเสียงนี้ไปใช้กับคนเป็นคู่ ๆ หรือเป็นกลุ่มจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกัน และช่วยให้แต่ละคนปรับ ตัวเข้าหากันได้ดีขึ้น
                นักดนตรีบำบัดชื่อ เฟเบียน มาแมนเชื่อว่า เมื่อได้ฟังเสียงที่เปล่งออกมา และเสียงสะท้อน
ของพลังงานในร่างกายของคนคนหนี่ งแล้ว เขาสามารถเลือกเสียงเฉพาะที่เข้ากับเขาคนนั้น และทำให้เขามีสุขภาพดี ได้ มาแมนอ้างว่าคลื่นเสียงที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีอาจโจมตีเซลล์เชื้อโรคและ เสริมสร้างเซลล์ที่แข็งแรง จึงช่วยเยียวยาโรคบางอย่างได้    ซึ่งการมีสุขภาพที่ไม่ดีหรือมีโรค เชื่อว่ามีผลทำให้ความถี่ของการสั่น สะเทือนของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ผิดไป การบำบัดด้วยคลื่นเสียงส่วนใหญ่จึงมีจุดประสงค์เพื่อฟื้นฟูและเพิ่ม ความแข็งแกร่งให้กับความถี่นี้โดยการส่งคลื่นที่ประสานกันได้อย่างกลมกลืนไป ยังจุดที่มีปัญหา
นอก จากนี้จากคัมภีร์ทางโยคะศาสตร์หรือคัมภีร์จีนในลัทธิเต๋าก็ได้พูดถึงการใช้ พลังคลื่นเสียงจากการเปล่งของมนุษย์หรือการสร้างสรรค์ดนตรีชนิดพิเศษขึ้นมา เพื่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการบำบัดโรค สำหรับคัมภีร์จีน ได้พูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับธาตุทั้งห้า ได้แก่ ธาตุดิน,ธาตุทอง,ธาตุน้ำ,ธาตุไม้,และธาตุไฟ   ซึ่งเกี่ยวพันกับอวัยวะสำคัญในร่างกาย ได้แก่ ม้าม,ปอด,ไต,ตับและหัวใจ   หรือคัมภีร์ทางโยคะศาสตร์ พูดถึงศูนย์พลังทั้ง 7   ที่เกี่ยวพันกับการกระตุ้นต่อมไร้ท่อต่าง ๆและการเดินทางขอ ที่สำคัญในร่างกาย ดังนั้นตามคัมภีร์โบราณก็มีการให้ความรู้และบทเรียนเพื่อ การฝึกปฏิบัติตนในด้านการพัฒนาศักยภาพมนุษย์เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาสมาธิระดับ สูงและมุ่งสู่การหลุดพ้น ด้วยการเปล่งเสียงที่ให้คลื่นเสียงต่าง ๆ กันสู่ส่วนต่าง ๆ หรืออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายแต่ละส่วน เพื่อส่งคลื่นเสียงที่มีความสั่นสะเทือนอย่างเหมาะสมกับกับธรรมชาติและความ ต้องการของอวัยวะส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นดีกับคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนในระดับเดียวกันที่ถูกส่งออกมาจาก การเปล่งเสียง เพื่อกระตุ้นศักยภาพภายในร่างกายให้เกิดความสมดุลย์และเสริมสร้างพลังสมาธิ ระดับสูง นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรีที่ได้ศึกษาคัมภีร์โบราณเหล่า นั้น ได้นำความรู้เหล่านี้มาผลิตเป็นดนตรีที่ให้คลื่นเสียงในรหัสเดียวกับการ เปล่งเสียงตามคัมภีร์โบราณ ซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มผู้ฝึกปฏิบัติทาง จิตระดับสูง
                                                                                                                                                           
                                                                                                                                                                                                                                                       
สรุป ได้ว่าในการบำบัดอวัยวะและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ถ้าได้มีการจัดพลังแห่งคลื่นเสียงที่เหมาะสมเข้าบำบัดในร่างกาย และอวัยวะส่วนต่าง ๆ จะช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี พลังคลื่นเสียงที่ได้จาก ดนตรีมักเป็นดนตรีทางศาสนาและลัทธิความเชื่อ เช่น ดนตรีทางโยคะศาสตร์และดนตรีพลังธาตุของลัทธิเต๋า ที่เน้นแนวทางการบำบัดรักษาร่างกายตามส่วนต่าง ๆ ของอวัยวะภายใน ซึ่งความบกพร่องทางสมองของกลุ่มเด็กพิเศษแนวทางบำบัดด้วยพลังคลื่นเสียงดัง กล่าวอาจฟื้นฟูเขาขึ้นมาก็ได้
ปัจจุบัน ได้มีการสร้างองค์ความรู้เกิดวิชาใหม่ที่เรียกว่าวิชาดนตรีบำบัด ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการนำดนตรีและองค์ประกอบของดนตรี และกิจกรรมการฝึกทักษะทางดนตรีมาประยุกต์เพื่อเบี่ยงเบนพฤติกรรม ใช้บำบัด ร่างกายและจิตใจของมนุษย์ ร่วมกับการรักษาแขนงอื่น เพื่อให้การรักษาประสบผลสำเร็จดีขึ้น โดยอาศัยการ กระทำอย่างมีหลักเกณฑ์และมีระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นการใช้ดนตรี ร่วมกับการสื่อสาร ที่ใช้คำพูดเพื่อนำไปสู่การบำบัดรูปแบบอื่นต่อไป โดยมีการจัดกิจกรรม ที่เรียกว่ากิจกรรมดนตรีบำบัด ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมโดยเน้นที่การใช้ เครื่องดนตรี (Music tools) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้การรักษาเป็นหลัก เป็นวิธีที่ใช้แก้ ปัญหา ที่เป็นผลตามมาจากความบกพร่องทางพัฒนาการ สามารถใช้ได้ง่ายและใช้กับ ผู้ป่วยเป็นกลุ่มได้ การให้ผู้รับการบำบัดเล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้น ๆ ได้ เป็นวัตถุประสงค์หนึ่งของกิจกรรมดนตรีเพื่อการบำบัด  
นายแพทย์ ดร. ประกอบ ผู้วิบูลย์สุข จิตแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพฯ ได้ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า “เราสามารถนำดนตรีบำบัดมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบทั้งในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ เพื่อตอบสนองความจำเป็นที่แตกต่างกันไปทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เช่น ปัญหาบกพร่องของพัมนาการ สติปัญญาและการเรียนรู้ โรคซึมเศร้า อัลไซเมอร์ ปัญหาการบาดเจ็บทางสมอง ความพิการทางร่างกาย อาการเจ็บป่วยและภาวะอื่น ๆ   สำหรับบุคคลทั่วไปก็สามารถใช้ดนตรีบำบัดได้ในแง่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด และใช้กับการออกกำลังกายเพื่อสร้างสุขภาพที่ดีได้” 
ดัง นั้นจึงได้มีแนวคิดการใช้ดนตรีเป็นองค์ประกอบในการจัดกิจกรรมให้เด็ก ออทิสติก เพราะว่า ดนตรีเรียกร้องความสนใจของเด็กได้ ทำให้เกิดมีสมาธิ อย่างน้อยเพื่อให้เขาหันมาสนใจและหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ชั่วขณะ ดนตรีช่วยให้เกิดความสนุกสนาน และเร้าให้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน